รีวิว Atlas VPN

สรุปรีวิว

Atlas VPN เพิ่งเปิดตัวในเดือนมกราคมปี 2020 เท่านั้น แต่ได้รับความนิยมเป็นอย่างดีจากผู้ใช้ VPN จำนวนมาก ได้รับการโฆษณาว่าเป็นบริการ VPN ฟรีที่ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวของคุณ ไม่โจมตีคุณด้วยโฆษณา ไม่มีการจำกัดข้อมูล และใช้การเข้ารหัสระดับเดียวกับทางการทหาร กล่าวโดยย่อ มันคือทุกสิ่งที่แบรนด์ VPN "ฟรี" อื่นๆ ส่วนใหญ่ทำไม่ได้ ซึ่งถือเป็นความรู้สึกสดชื่นอย่างแท้จริง แน่นอน หากคุณต้องการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ที่ได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพและเร็วกว่าเดิม Atlas VPN ก็มีข้อเสนอเวอร์ชันพรีเมียมอีกด้วย

ผู้ให้บริการ VPN รายนี้เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยเซิร์ฟเวอร์มากกว่า 570 เซิร์ฟเวอร์กระจายอยู่ใน 17 ประเทศ ด้วยเวลาเพียง 1 ปีของการดำเนินงาน การเชื่อมต่อนั้นรวดเร็ว เชื่อถือได้ ปลอดภัยด้วยโปรโตคอล IPv6 และการป้องกันการรั่วไหลของ DNS และ WebRTC แอปทั้งหมดเข้ากันได้กับ Windows, macOS, Android, iOS และเร็วๆ นี้กับ Chrome

สิ่งที่เราชอบอีกอย่างเกี่ยวกับบริการนี้ก็คือ การที่พวกเขาเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวนน้อยที่สุด ที่จริงแล้ว หากคุณใช้เวอร์ชันฟรี คุณไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนด้วยซ้ำ! ฟังดูดี แต่ลองมาดูกันว่าบริการนี้ดีจริงอย่างที่กล่าวอ้างหรือไม่

ความเป็นส่วนตัว / ไม่ระบุตัวตน

Atlas VPN ทำงานบนการผสมผสานมาตรฐานอุตสาหกรรมของ AES-256 และ IPSec/IKEv2 เพื่อความปลอดภัยของปริมาณการใช้งานเว็บ สิ่งนี้ทำให้ไม่สามารถเจาะเข้าได้จริง ดังนั้น คุณจึงไม่ต้องกังวลว่าแฮกเกอร์จะเข้าถึงข้อมูลของคุณ แล้วกับทาง Atlas VPN ล่ะ ข้อมูลของคุณถูกเก็บบันทึกไว้มากแค่ไหน ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวของพวกเขา:

“เราเป็น VPN ที่ไม่บันทึกข้อมูลการใช้งาน: เราไม่บันทึกที่อยู่ IP จริงของคุณ และเราไม่ได้จัดเก็บข้อมูลใดๆ ที่ระบุสิ่งที่คุณท่องเว็บ ดู หรือทำออนไลน์ผ่านการเชื่อมต่อ VPN นั้นๆ ข้อมูลที่มีการบันทึกเพียงอย่างเดียวก็คือ การวิเคราะห์ขั้นพื้นฐาน เพื่อให้บริการที่ดีเยี่ยมแก่ผู้ใช้ของเราทุกคน ซึ่งหมายความว่า เราไม่มีข้อมูลใดๆ ที่จะแบ่งปันกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานของรัฐที่ร้องขอข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกำลังทำผ่านการเชื่อมต่อ VPN”

นั่นเป็นเรื่องที่น่าสบายใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจาก Atlas VPN อยู่ภายใต้ข้อตกลง “5 Eyes” ด้วยนโยบายการไม่บันทึกข้อมูลการใช้งานนี้ พวกเขาจะไม่มีข้อมูลใดๆ ที่จะส่งมอบให้กับรัฐบาลหรือหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้ Atlas VPN ยังมีฟีเจอร์ Kill Switch เพื่อปกป้องคุณจากการรั่วไหลของข้อมูลในกรณีที่การเชื่อมต่อหลุด คุณสมบัติที่มีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งคือ “SafeBrowse” ซึ่งจะเตือนคุณ หากคุณกำลังจะเปิดเว็บไซต์ที่เป็นอันตรายหรืออาจเป็นอันตราย ณ วันที่ทำการรีวิวนี้ คุณลักษณะทั้ง Kill Switch และ SafeBrowse จะใช้ได้เฉพาะบนแอป Android และ iOS เท่านั้น

ความเร็วและความน่าเชื่อถือ

เพื่อทดสอบความเร็วและความน่าเชื่อถือของ Atlas VPN เราใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการเล่นเกมออนไลน์และการท่องเว็บแบบวันต่อวัน ก่อนเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ เรามักจะมีความเร็วในการดาวน์โหลดเฉลี่ยที่ 49 Mbps และความเร็วในการอัปโหลดที่ 7 Mbps แทบไม่มีความแตกต่างกันเลยเมื่อเราเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ท้องถิ่น เพราะความเร็วในการดาวน์โหลดของเรายังคงที่ โดยเฉลี่ยที่ 41 Mbps และความเร็วในการอัปโหลดอยู่ที่ประมาณ 4 Mbps ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความเร็วจะลดลงเล็กน้อยทันทีที่เราเปลี่ยนไปใช้เซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกา (เราอยู่ที่ไหนสักแห่งในยุโรปในขณะที่ทำการรีวิวนี้) จากความเร็วในการดาวน์โหลดพื้นฐานที่ 49 Mbps ลดลงเหลือประมาณ 37 Mbps และความเร็วในการอัปโหลดลดลงเป็น 3 Mbps โดยรวมแล้ว ประสบการณ์ของเราน่าพอใจเป็นอย่างมาก และโปรดทราบว่า การทดสอบความเร็วนั้นทำผ่านบัญชีระดับพรีเมียม

แพลตฟอร์มและอุปกรณ์

Atlas VPN ใช้งานได้กับโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต แล็ปท็อป และคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป พร้อมรองรับแพลตฟอร์มต่างๆ ได้แก่ Android, iOS, macOS และ Windows ปัจจุบัน Atlas VPN ไม่ได้รองรับไคลเอนต์ OSX แล้ว



ที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์

ปัจจุบัน Atlas VPN มีเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมด 573 เซิร์ฟเวอร์ใน 17 ประเทศ: ออสเตรเลีย ออสเตรีย เบลเยียม แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมนี ไอร์แลนด์ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ สิงคโปร์ สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา



การบริการลูกค้า

Atlas VPN มีส่วนคำถามที่พบบ่อยซึ่งมีเนื้อหาที่ครอบคลุม อยู่ภายใต้แท็บความช่วยเหลือ เราพบว่าแถบค้นหาใช้งานได้ดีในการค้นหาสิ่งที่เราต้องการ แต่บทความยังไม่ได้รับการจัดระเบียบเท่าไร หากคุณยังไม่ได้รับข้อมูลที่ต้องการ คุณสามารถส่งอีเมลถึงพวกเขาได้ตลอดเวลาที่ support@atlasvpn.com หากคุณเป็นสมาชิกระดับพรีเมียม เพียงเข้าสู่ระบบ แล้วคุณจะสามารถเข้าถึงการสนับสนุนลูกค้าส่วนบุคคล ตลอด 24 ชม. ทุกวันไม่เว้นวันหยุด

ราคา

อันดับแรก เราจะพูดถึงความแตกต่างระหว่างการสมัครสมาชิกแบบฟรีกับแบบชำระเงิน เวอร์ชันฟรีโดยทั่วไปจะให้แบนด์วิดท์ไม่จำกัด การเข้ารหัสข้อมูล การห่อหุ้มข้อมูล และจำกัดการเข้าถึงจากเพียง 3 ประเทศเท่านั้น ซึ่งก็คือ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ส่วนสิ่งที่คุณจะได้รับจากการสมัครสมาชิกระดับพรีเมียม มีดังต่อไปนี้

• มีมากกว่า 500 เซิร์ฟเวอร์ ในกว่า 20 แห่งทั่วโลก
• การสนับสนุนที่ปรับแต่งได้ตลอด 24 ชม. ทุกวันไม่เว้นวันหยุด
• การใช้บริการระดับพรีเมียมพร้อมกันบนอุปกรณ์ไม่จำกัดจำนวน
• ฟีเจอร์ SafeBrowse และการตรวจสอบความปลอดภัย
• ประสิทธิภาพความเร็วสูงและแบนด์วิดท์ไม่จำกัด

ตอนนี้เรามีสิ่งนั้นแล้ว เรามาพูดถึงเรื่องแผนราคากัน ค่าบริการรายเดือนอาจไม่ต่ำที่สุด ที่ $9.99 ต่อเดือน เมื่อพิจารณาถึงค่าบริการรายเดือนเฉลี่ยสำหรับบริการ VPN อื่นๆ จะอยู่ที่ประมาณ $5 ราคาลดลงอย่างมาก หากคุณเลือกสมัครสมาชิกแบบรายปีที่ $2.49 ต่อเดือน และถูกลงไปอีกที่ $1.39 ต่อเดือน หากคุณเลือกชำระเงินล่วงหน้าแบบ 3 ปี แม้ว่าราคาจะไม่ได้ต่ำที่สุด ข้อดีข้อหนึ่งก็คือ Atlas VPN ไม่ได้จำกัดจำนวนอุปกรณ์สำหรับการเชื่อมต่อกับบัญชีพรีเมียมเพียงบัญชีเดียว ซึ่งหมายความว่า คุณไม่จำเป็นต้องสมัครสมาชิกเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมอุปกรณ์ทั้งหมดในครอบครัวของคุณ!