ฟีเจอร์ที่ต้องมีใน VPN ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน:
- ท่องเว็บได้อย่างรวดเร็วจากหลายสิบประเทศ โดยไม่ต้องตัดการเชื่อมต่อที่น่ารำคาญ
- เพิ่มความเป็นส่วนตัวของคุณเมื่อคุณท่องโลกออนไลน์
- การเชื่อมต่อที่ปลอดภัยกับฮอตสปอตในพื้นที่และ WiFi สาธารณะ ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน
เหตุผลหลักในการใช้ VPN
1. ความเป็นส่วนตัวที่ดีขึ้น
ไม่มีวิธีใดที่จะทำให้การท่องเว็บของคุณเป็นส่วนตัวได้มากกว่าการใช้ VPN
2. เพิ่มความปลอดภัย
การใช้บริการ VPN จะเพิ่มระดับการป้องกันให้กับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคุณ การเข้ารหัสที่เพิ่มขึ้นนี้หมายความว่า คุณจะปลอดภัยมากยิ่งขึ้นเมื่อออนไลน์ เมื่อใดก็ตามที่คุณทำธุรกรรมออนไลน์ หรือเมื่อคุณต้องการส่งหรือรับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน VPN จะเพิ่มความปลอดภัยให้แก่คุณ
วิธีการทำงานของ VPN มีดังนี้
VPN ย่อมาจาก Virtual Private Network หมายความว่า เครือข่ายส่วนตัวเสมือน เมื่อคุณเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต VPN ของคุณจะสร้าง "อุโมงค์" ที่ข้อมูลทั้งหมดของคุณจะถูกส่งผ่านตามเซิร์ฟเวอร์ที่คุณเลือก แทนที่จะผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตของคุณ
VPN มีประโยชน์ในสถานการณ์จริง
ประเด็นหลักของ VPN คือ การรักษาความปลอดภัยและปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ มันจะเก็บที่อยู่ IP, ตำแหน่งที่ตั้ง และกิจกรรมการท่องเว็บของคุณไว้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังซ่อนข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลที่ละเอียดอ่อนอื่นๆ ของคุณ เพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม VPN ทำได้มากกว่านั้นมาก ขอเชิญพบกับวิธีที่คุณจะใช้ประโยชน์สูงสุดได้จาก VPN ของคุณ!
- ใช้ VPN เพื่อทำการเปรียบเทียบราคาจากตำแหน่งที่ตั้งที่ต่างกัน
- เข้าถึง Wi-Fi สาธารณะได้อย่างปลอดภัย การเชื่อมต่อกับ Wi-Fi สาธารณะในร้านกาแฟ สนามบิน และล็อบบี้ของโรงแรมเป็นเรื่องที่น่าดึงดูดใจ หากเพียงเพื่อประหยัดค่าอินเตอร์เน็ตของคุณ อย่างไรก็ดี เครือข่าย WiFi สาธารณะนับเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับแฮกเกอร์ การใช้ VPN จะทำให้คุณสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้อย่างอิสระโดยไม่กระทบต่อข้อมูลการเข้าสู่ระบบอีเมล การเข้าสู่ระบบธนาคาร รูปภาพ ที่อยู่ และข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ
ต่อไปนี้คือ แบรนด์ยอดนิยมบางส่วนที่ไม่ติดอันดับใน 10 อันดับแรกของเรา...
เราได้ทำการพิจารณาปัจจัยหลายประการ ในระหว่างที่ทำการทดสอบและรีวิว VPN จากหลากหลายผู้ให้บริการ ได้แก่ ความปลอดภัย จำนวนเซิร์ฟเวอร์และที่ตั้ง คุณสมบัติพิเศษ ความคุ้มค่า และรีวิวจากผู้ใช้ นอกจากนี้ เรายังเลือกแบรนด์ที่มีนโยบายการบันทึกข้อมูลการใช้งานแบบไม่รุกล้ำความเป็นส่วนตัว และไม่มีประวัติการใช้ข้อมูลในทางที่ผิด แบรนด์เหล่านี้อาจเป็นแบรนด์ยอดนิยม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแบรนด์เหล่านี้ดีที่สุด
Avast Secureline: เราตัดสินใจที่จะไม่รวม Avast VPN เข้าไว้ในการจัดอันดับนี้ หลังจากมีการละเมิดความปลอดภัยในปี 2019 เมื่อบริษัทถูกจับได้ว่ากำลังรวบรวมข้อมูลผู้ใช้ผ่าน Jumpshot ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เรายังไม่ชอบที่คุณต้องจ่ายใบอนุญาตแยกต่างหากสำหรับอุปกรณ์ทุกเครื่องที่คุณมี อีกทั้งนโยบายการใช้งานที่ยอมรับได้ของผู้ให้บริการรายนี้ก็ค่อนข้างคลุมเครือ
AVG: เราคิดว่า AVG นั้นแพงเกินไปสำหรับ VPN ที่มีฟีเจอร์ no-kill switch, มีเซิร์ฟเวอร์จำกัด การเข้ารหัสระดับปานกลาง และมีประวัติการละเมิดความปลอดภัย
McAfee: McAfee เป็นชื่อที่ใช้กันทั่วไปในครัวเรือน ดังนั้นอาจไม่น่าแปลกใจที่ไม่เห็นชื่อนี้ในการจัดอันดับของเรา อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ให้บริการรายนี้มีนโยบายการบันทึกข้อมูลการใช้งานที่รุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากที่สุดรายหนึ่ง แม้ว่าจะดำเนินการอยู่ในสหรัฐอเมริกาแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร เนื่องจากนี่เป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรด้านข่าวกรองของ Five-Eyes
SaferVPN: VPN เป็นที่ใช้งานง่าย มาพร้อมฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ 2-3 อย่าง เช่น การป้องกัน Wi-Fi อัตโนมัติและการสนับสนุนตลอด 24 ชม. ทุกวันไม่เว้นวันหยุด แต่ความเร็วที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และจุดบกพร่องด้านความปลอดภัยที่รุนแรงทำให้ยากที่จะได้รับการรวมอยู่ใน 10 อันดับแรกของเรา
BitDefender: BitDefender ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ประสบการณ์ที่เราได้รับจากฝ่ายบริการลูกค้านั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่แย่ที่สุดระหว่างช่วงการทดสอบของเรา ลูกค้าที่จ่ายเงินให้สมควรได้รับการบริการที่ดีกว่านี้
Kaspersky: เป็นอีกหนึ่งชื่อคุ้นหู แต่เราไม่สามารถรวมด้วยได้เนื่องจากอยู่ในประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเรื่องระเบียบข้อบังคับทางอินเทอร์เน็ตที่เข้มงวด
OpenVPN: เราอยากให้ผู้อ่านของเราได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดเมื่อใช้ซอฟต์แวร์ VPN ที่เราแนะนำ แต่ OpenVPN นั้นไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้อย่างแน่นอน และผู้ใช้ใหม่อาจประสบปัญหาในการเริ่มต้นใช้งาน
TunnelBear: ในขณะที่ TunnelBear เสนอค่าข้อมูลฟรีแบบจำกัด แต่มันก็จำกัดอยู่แค่ 500MB ซึ่งแทบจะไม่พอต่อการทดสอบ VPN อย่างละเอียดด้วยซ้ำ แม้ว่าเราจะเห็นว่าพ่อหมีนักขุดน่ารักแต่ก็ต้องขอบาย
Windscribe: Windscribe มีความใจดีกว่า TunnelBear นิดหน่อย ที่อยู่อีเมลที่ได้รับการยืนยันจะสามารถใช้แบนด์วิดท์ VPN ได้ฟรี 10GB ทุกเดือน แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี
IPVanish: ผู้ให้บริการรายนี้เคยมีประเด็นถกเถียงในปี 2559 เมื่อมีการให้ข้อมูลตัวตนและบันทึกข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้แก่หน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (ถึงแม้จะมีการอ้างว่าไม่มีการบันทึกก็ตาม)
VyprVPN: VyprVPN เคยมีปัญหากับการบันทึกข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้นิดหน่อย แต่การปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัวดูเหมือนว่าจะสะท้อนถึงนโยบาย "การไม่บันทึกเข้อมูลการใช้งาน" ที่เข้มงวดในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม เราได้ตัดสินใจที่จะไม่รวมผู้ให้บริการดังกล่าว เนื่องจากเซิร์ฟเวอร์มีจำกัดและความเร็วปานกลาง
HolaVPN: HolaVPN ไม่เข้ารอบเพราะมันมีข้อเสียมากกว่าข้อดี มันบันทึกข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้จำนวนมาก และเราไม่สะดวกใจกับเรื่องการต้องแชร์แบนด์วิดท์ก็แค่นั้นแหละ